This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

อีก 3วันกับการทำงานในบริษัทครั้งสุดท้าย

อีก 3วันกับการทำงานในบริษัทครั้งสุดท้าย

   วันนี้วัน จันทร์ ที่18 เดือน มีนาคม 2556 กับบันทึกหน้านี้ ชีวิตกับการทำงานใน บริษัท การทำงานวันแรกของผมที่เข้ามา เมื่อ 7ปี กับอีก 7เดือน แบบว่าประมาณเอาน่ะ วันแรกที่ได้เข้าทำงาน มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ เป็นความคาดหวัง เป็นความหมาย และความฝันในการทำงานในบริษัท ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ หวังอยากได้โน่น อยากได้นี่ ครับทุกคนก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้น...

    วันเวลาผ่านไปแบบลมๆแล้งๆ กับความหวังในการทำงาน บริษัท ใช่ผมมีงานทำ ถึงแม้ว่าค่าตอบแทนจะพออยู่พอกินพอมีเก็บเล็กเก็บน้อยบ้าง แต่ก็เท่านั้นมันเป็นการเก็บแบบหวังอะไรได้ไม่มากนัก ก็เพราะว่าเรา เก็บเล็กเก็บน้อย ก็ทำไงได้หล่ะครับ รายได้มันน้อยนี่หว่า...

   แต่ที่ได้และคุ้มค่ามากที่สุด ก็คือประสบการณ์ การทำงานในบริษัท มันทำให้ผมมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ มากขึ้น ก็ง่ายๆ เราเจอบุคคลมากหน้าหลายตา ต่างคน ต่างนิสัย ต่างที่มา ต่างพ่อ ต่างแม่ แบบว่า นานาจิตตัง นั่นแหละครับ...

   เรามีประสบการณ์ในการแก้ปัญหา มีความรู้ความเข้าใจในการทำงาน การวางแผนงาน และเข้าใจในการทำงาน ผมจะเอาประสบการณ์ นี้แหละ เอาไปใช้ในการดำเนิน ชีวิตหลังจากที่ผมลาออกจากงานนี่แหละครับ...


วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

โรคสัตว์ปีกและการป้องกัน


โรคสัตว์ปีกและการป้องกัน



       โรค (Diseases) คือ สภาวะที่ทาให้สภาพร่างกายของสัตว์ปีกเจ็บป่วย หรือผิดไปจากปกติ ไก่ป่วยมักไม่กินอาหาร การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตไข่ลดลง ถ้าป่วยมากอาจถึงขั้นตายได้ ลักษณะการเกิดโรคอาจเป็นแบบรวดเร็วและรุนแรงมาก (Peracute) แบบเฉียบพลัน (Acute) หรือ แบบเรื้อรัง (Chronic) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค เชื้อโรคที่เข้าไปในตัวไก่อาจทาให้ไก่แสดงอาการเป็นโรคให้เห็น (clinical symptom) หรือไก่อาจไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน (Subclinical symptom) ทั้ง ๆ ที่ได้รับเชื้อโรคแล้วก็จะกลายเป็นตัวพาหะนาเชื้อโรค (Disease carrier)

สาเหตุของการเกิดโรค
สาเหตุของการเกิดโรคเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้
1. แบคทีเรีย
2. ไวรัส
3. โปรโตซัว
4. พยาธิ
5. เชื้อรา
6. การขาดอาหาร

      จากสาเหตุการเกิดโรคข้างต้นเราจึงสามารถแบ่งโรคออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ โรคติดต่อ (Infectious diseases) ซึ่งได้แก่ โรคเมื่อเกิดขึ้นกับสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งแล้วสามารถแพร่กระจายไปยังสัตว์ตัวอื่น ๆ ในฝูงได้ โรคติดต่อนี้จะเป็นโรคที่เกิดจากพวกเชื้อโรคและพยาธิต่าง ๆ ส่วนโรคอีกกลุ่มหนึ่งคือ โรคไม่ติดต่อ (Non-infectious diseases) หมายถึง โรคที่เมื่อเกิดขึ้นกับสัตว์ตัวใดตัวหนึ่งแล้วไม่สามารถแพร่กระจายหรือติดต่อไปยังสัตว์ตัวอื่นได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้ชิดกันก็ตาม โรคไม่ติดต่อนี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการขาดอาหาร การได้รับสารพิษ การได้รับความบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ความผิดปกติของร่างกาย บางครั้งอาจมีสาเหตุมาจากพวกเชื้อโรคต่าง ๆ ด้วย เช่น โรคบาดทะยัก ก็จัดอยู่ในโรคกลุ่มนี้

การติดต่อของโรค
เชื้อโรคจะแพร่กระจายออกจากร่างกายสัตว์ป่วยได้โดย
1. ทางมูลและปัสสาวะ
2. ทางปากโดยออกมากับน้าลาย
3. ทางจมูกโดยออกมากับน้ามูก
4. ทางอวัยวะสืบพันธุ์โดยการผสมพันธุ์
5. ทางเลือดโดยแมลงดูดเลือดต่าง ๆ เช่น ยุง เหลือบ เหา ไร หมัด ฯลฯ
6. ทางน้าตาหรือส่วนอื่น ๆ


หลังจากเชื้อโรคออกจากร่างกายสัตว์ป่วยแล้ว จะแพร่ไปยังสัตว์ที่ยังไม่ป่วยได้หลายทางด้วยกัน คือ
1. ทางน้า
2. ทางอากาศ
3. ทางดิน
5. จากการสัมผัสโดยตรง
6. ทางภาชนะเครื่องมือต่าง ๆ
7. ทางไข่ฟัก
8. โดยการเคลื่อนย้ายไก่ป่วย



เอกสารประกอบการสอน การผลิตสัตว์ปีก : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉา

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

ไผ่กิมซุง

รู้จักกับไผ่กิมซุง

     ไผ่กิมซุงเป็นแต่เดิมเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศจีน เป็นไผ่ที่โตเร็วดูแลง่ายพอ ๆ กับพืชจำพวกยูคาลิปตัส ปลูกเพียง 6-8 เดือนก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ ไผ่กิมซุงเป็นไผ่กอใหญ่ หน่อมีขนาดใหญ่ ลำต้นอวบสูงถึง 25 เมตร ลำต้นมีสีเขียวเข้ม เติบโตได้กับทุกสภาพอากาศและดินทุกประเภท โตเร็วมา 6-8 เดือนก็สามารถเก็บหน่อไปขายได้แล้ว หน่อของไผ่กิมซุงมีรสชาติหวานกรอบอร่อย โดยส่วนมากนิยมเก็บหน่อขายมากกว่าทำประโยชน์อย่างอื่น หน่อที่เหมาะสมกับการเก็บขายต้องมีขนาดไม่เกิน 40 เซนติเมตร ไผ่กิมซุงนี้ไม่มีหนามและขนแข็ง ๆ จึงเก็บง่าย




 วิธีปลูกไผ่กิมซุง





ไผ่กิมซุงเจริญเติบโตได้ดีกับดินทุกประเภท ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนของประเทศไทยก็สามารถปลูกไผ่กิมซุงได้ทั้งนั้น การขยายพันธุ์ไผ่กิมซุงใช้ลำต้น แรกเริ่มให้เกษตรกรซื้อต้นไผ่กิมซุงมาปลูก ต้นทุนครั้งแรกอยู่ที่ประมาณ 50 บาทต่อต้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างจะแพงเมื่อเทียบกับไผ่ชนิดอื่น ให้เกษตรกรซื้อมาแต่น้อย เพราไผ่กิมซุงเจริญเติบโตเร็ว เราสามารถขยายพันธุ์ได้เอง โดยการตัดปักชำกิ่งไผ่ เมื่อเวลาผ่านไป 6-8 เดือนต้นไผ่พันธุ์ที่ซื้อมาจะเริ่มแตกให้เราตัดกิ่งไผ่ที่มีลักษณะไม่อ่อนไม่แก่ มาปักชำ ซึ่งถ้าเราจะขายกิ่งปักชำเหล่านี้ก็ย่อมได้ค่ะ มีตลาดรับซื้อ และกำลังเป็นที่ต้องการของเกษตรกร บางคนก็มุ่งเป้าขายกิ่งพันธุ์อย่างเดียวเลย เพราะกำลังเป็นกระแส ใคร ๆ ก็อยากปลูก ปักชำ 2-3 เดือนก็ออกราก จำหน่ายได้แล้ว ต้นพันธุ์ 1 ต้นสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้เป็นร้อย มีแต่คุ้มกับคุ้ม

  
วิธีการเตรียมปลูกและการดูแล



  1. ไผ่ชอบดินร่วนซุย ดินโปร่งและร่วนซุยจะทำให้รากเจริญเติบโตดี ไผ่กิมซุงก็จะตั้งกอเร็ว เจริญเติบโตได้เต็มที่ ถ้าที่ดินของท่านเป็นดินแข็งแน่น ให้ไถกลบด้วยเศษใบไม้แห้งจะทำให้ดินร่วนซุยมากยิ่งขึ้น ช่วงเวลาเตรียมดินต้องมีเวลาให้ใบไม้ย่อยสลายสัก 1 เดือน แล้วจึงขุดหลุมปลูก หลุมปลูกเว้นระยะห่างระหว่างหลุมประมาณ 1 เมตร หลุมลึกประมาณ 0.5 เมตร
  2. ไผ่กิมซุงไม่ต้องการน้ำมาก ช่วงแรกที่ปลูกให้น้ำ 3 วันครั้ง เมื่อรากลงดินและเริ่มแตกหน่อให้ลดเหลือสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
  3. เมื่อผ่านไปประมาณ 6 เดือนสามารถเก็บหน่อได้ ให้เก็บหน่อก่อนหน่อมีความยาว 40 เซนติเมตร เพราะถ้าเก็บหลังจากนี้หน่อไผ่กิมซุงจะแข็ง มีเสี้ยน ราคาจะตกลง ในระหว่างนี้อย่าให้หน่อเจริญเติบโตเป็นลำไผ่เป็นอันขาด เพราะมันจะไปแย่งอาหารหน่อไม้จนหมด ทำให้หน่อไม้แกนไม่มีรสหวาน ให้ปล่อยไว้เพียง 2-3 ลำเท่านั้นพอ


  


วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ นอกฤดู

การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ นอกฤดู

สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 บ่อ จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เท่านั้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงเริ่มแรก ส่วนค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่วงบ่อซีเมนต์และฝารองซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายกิ่งพันธุ์มะนาว, ระบบน้ำ ฯลฯ รวมเป็นเงินในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 วงบ่อ เป็นเงิน 27,000 บาทโดยประมาณ ต้นมะนาวในวงบ่อเมื่อมีอายุต้นเพียง 8 เดือน จะบังคับให้ต้นออกฤดูแล้งได้โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกลงดินคือคลุมพลาสติกให้กับต้นมะนาวในช่วงเดือนกันยายนและกระตุ้นการออกดอกในเดือนตุลาคม จะได้ผลผลิตมะนาวแก่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มะนาวราคาแพงที่สุด เท่ากับว่าในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นสามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง



เริ่มต้นการจัดผังปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์


 รายละเอียดของการเริ่มต้นการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะต้องวัดพื้นที่ กว้างxยาว ก่อน เพื่อจะหาพื้นที่ หลังจากนั้น เว้นทางเดินประมาณ 2 เมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 1.20 เมตร ระยะระหว่างแถว 1.50 เมตร ปลูกแบบแถวคู่แล้วเว้นเป็นทางเดิน 2 เมตร สภาพพื้นที่ปลูกจะต้องปรับให้เรียบเหมือนกับลานตากข้าว วัดระยะการวางวงบ่อ การวางวงบ่อซีเมนต์พยายามวางให้เป็นเลขคู่เพื่อง่ายต่อการวางระบบน้ำและคำนวณแรงดันน้ำ แท็งก์จะแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกจะก่อให้สูง ประมาณ 5 วงบ่อ หรือมีความจุน้ำได้ 1,200 ลิตรจะใช้แท็งก์นี้เพื่อผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพแล้วเปิดน้ำดีเข้าไปผสมปล่อยไปให้ต้นมะนาวในวงบ่อได้โดยตรง ส่วนแท็งก์อีกชุดหนึ่งจะก่อให้สูงประมาณ 9 วงบ่อ จำนวน 2 แท็งก์ เพื่อกักเก็บน้ำสะอาดแล้วช่วยในเรื่องของแรงดัน


การเตรียมดินปลูกมะนาวและขนาดของวงบ่อซีเมนต์

 ขนาดของวงบ่อซีเมนต์แนะนำให้เกษตรกรใช้ จะใช้ขนาดวงเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร แต่เดิมฝาวงบ่อคุณพิชัยใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร เท่ากับขนาดของวงบ่อ เมื่อปลูกไปนาน 2-3 ปี พบว่า รากของต้นมะนาวจะโผล่ออกมานอกวงและชอนลงไปในดิน ทำให้ควบคุมในเรื่องของการบังคับให้ออกนอกฤดูได้ยากมากขึ้น ปัจจุบัน จึงได้แนะนำเกษตรกรและแก้ไขให้ซื้อฝาวงบ่อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของวงบ่อ ใช้ฝาวงบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 90 เซนติเมตร กว้างกว่า 10 เซนติเมตรดินผสมที่จะใช้ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะใช้วัสดุปลูกหลัก 3 ชนิด คือ หน้าดิน 3 ส่วน ขี้วัวเก่า 1 ส่วน และเปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน ผสมคลุกเคล้ากัน การใช้เปลือกถั่วเขียวจะช่วยให้สภาพดินมีการระบายน้ำที่ดี ถ้าใช้แค่หน้าดินผสมกับขี้วัวจะทำให้ดินปลูกแน่น เวลาให้น้ำไป 3-4 วัน น้ำยังไม่ถึงข้างล่างของวงบ่อ ยังได้ยกตัวอย่างปริมาณของดินที่จะใช้ในการปลูกมะนาว จำนวน 100 วงบ่อ จะต้องใช้หน้าดินประมาณ 1 คันรถสิบล้อ เทคนิคในการผสมวัสดุปลูกจะต้องปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก หลังจากนั้น ใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 แล้วตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด หลังจากนั้นใช้เครื่องตีพรวนติดรถไถจะเร็วกว่าใช้แรงงานคน

การใส่วัสดุปลูกลงบ่อซีเมนต์มีเทคนิค

 ที่ผ่านมาเกษตรกรที่ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ส่วนใหญ่จะใส่วัสดุปลูกในวงบ่อซีเมนต์เพียงเสมอวงบ่อเท่านั้น เมื่อรดน้ำไปได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว วัสดุปลูกจะยุบตัวลงมาประมาณ 1 คืบมือ ถ้าเกษตรกรเติมวัสดุปลูกลงไปจะไปกลบลำต้นมะนาว ปัญหาเรื่องโรคโคนเน่าจะตามมา ดังนั้น ในการใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อซีเมนต์จะต้องใส่ให้พูนเป็นภูเขาเลย และที่จะต้องเน้นเป็นพิเศษขณะที่ใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อนั้นคือ จะต้องขึ้นเหยียบวัสดุปลูกขอบๆ วงบ่อ บริเวณตรงกลางไม่ต้องเหยียบ การใส่วัสดุปลูกให้เป็นภูเขาจะช่วยในเรื่องดินยุบลงมาเสมอวงบ่อได้นานถึง 1 ปี

วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ที่ถูกต้อง

 หลังจากที่ใส่วัสดุปลูกลงในบ่อซีเมนต์เรียบร้อยแล้ว ให้เกษตรกรขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับขนาดของถุงที่ใช้ชำต้นมะนาว (โดยปกติถ้าใช้กิ่งตอนมะนาว ควรจะชำต้นมะนาวไว้นานประมาณ 1 เดือน เท่านั้น ไม่แนะนำให้ซื้อต้นมะนาวที่ชำมานานแล้วหลายเดือน หรือชำค้างปี เนื่องจากจะพบปัญหาเรื่องรากขด ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือต้นแคระแกร็น) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราประมาณ 1 กำมือ ถอดถุงดำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับระดับดินเดิม กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบรอบๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกและแนะนำให้ใช้ตอกมัดต้นมะนาวไว้กับหลัก ตอกจะผุเปื่อยหลังจากปลูกไปนานประมาณ 2 เดือน ต้นมะนาวตั้งตัวได้แล้ว แต่ที่หลายคนได้ใช้ปอฟางหรือพลาสติคทาบกิ่งมัดกับหลักจะอยู่ได้นานก็จริง แต่ปัญหาที่จะตามมาจะทำให้ลำต้นมะนาวคอด มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้น หลังจากปลูกเสร็จให้เดินท่อ PE เจาะหัวมินิสปริงเกลอร์และวางท่อ PE พาดไปกับวงบ่อเลยเพื่อสะดวกต่อการทำงาน

ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ได้ตลอดทั้งปี

 ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ปลูกไปแล้วนับไปอีก 8 เดือน เกษตรกรสามารถบังคับให้ต้นออกดอกได้ ถ้าเกษตรกรจะบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งในรุ่นแรกแนะนำให้ปลูกต้นมะนาวในช่วงเดือนมกราคม ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ในปีเดียวกันบังคับต้นให้ออกดอกได้โดยใช้หลักการเหมือนกับที่ปลูกลงดิน ผลผลิตมะนาวฤดูแล้งจะไปแก่และเก็บผลผลิตขายได้ราคาแพงในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของปีถัดไป เท่ากับว่าการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ใช้เวลาปลูกเพียงปีเศษเท่านั้น เกษตรกรสามารถเก็บมะนาวฤดูแล้งขายได้

วิธีการรดน้ำต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ทำอย่างไร

ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ให้ใช้พลาสติคคลุมปากบ่อซีเมนต์เพื่อป้องกันน้ำหรือฝนที่ตกลงมาในช่วงแรกๆ แต่พบปัญหาว่าเมื่อเกษตรกรนำพลาสติคไปคลุมกลับรักษาความชื้นให้กับต้นมะนาวใช้เวลานานวันกว่าดินจะแห้ง หรือเลือกใช้หลักการ "ฝนทิ้งช่วง" ในแต่ละปีช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี จะมีช่วงเวลาที่ฝนทิ้งช่วง ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกัน 3-4 วัน ดินในวงบ่อจะเริ่มแห้ง ใบมะนาวจะเริ่มเหี่ยว หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นให้ต้นมะนาวออกดอกและติดผลได้

ผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ 2 รุ่น ต่อปี

ในช่วงเริ่มแรกของการบังคับมะนาวฤดูแล้งจะทำให้ต้นมะนาวออกดอกเพียงรุ่นเดียวคือ ช่วงเดือนตุลาคมและไปเก็บผลผลิตในช่วงเดือนเมษายนเท่านั้น ทำให้จะต้องคอยปลิดดอกมะนาวทิ้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยมาจนถึงเดือนสิงหาคม-กันยายน แต่ช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาสภาวะตลาดมะนาวผลผลิตจะเริ่มมีราคาดีตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายน จึงปล่อยให้มะนาวให้ผลผลิต 2 รุ่น คือมีผลผลิตขายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์รุ่นหนึ่ง (บังคับให้ต้นออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) และมีผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนอีกรุ่นหนึ่ง (บังคับให้ออกดอกในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม) พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคมของทุกปีราคามะนาวจะถูกลง จะตัดแต่งกิ่งมะนาวในช่วงเวลานี้ พร้อมทั้งปลิดผลมะนาวที่ติดอยู่บนต้นทิ้งให้หมด

 

ตัดแต่งกิ่งมะนาวในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี

ตัดแต่งกิ่งมะนาวตาฮิติในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี โดยจะเริ่มตัดแต่งกิ่งและปลิดผลทิ้งทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม ในช่วงปีที่ 1-2 จะตัดแต่งบ้างแต่ไม่มากนัก จะมาตัดแต่งหนักเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งในช่วงนั้นมักจะพบว่าต้นมะนาวเริ่มโทรม มีกิ่งแห้งเป็นจำนวนมาก การตัดแต่งกิ่งมีผลทำให้ต้นมะนาวแตกกิ่งออกมาใหม่และได้ผลผลิตมะนาวที่มีคุณภาพ หลังจากตัดแต่งกิ่งเสร็จในเดือนพฤษภาคม ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เป็นช่วงบำรุงต้นและสะสมอาหารเพื่อจะกระตุ้นการออกดอกรุ่นแรกในเดือนสิงหาคม

เทคนิคการเปิดตาดอก

เมื่อใบมะนาวเหี่ยวและเริ่มร่วงหรือเหลือใบยอดเพียง 1 คืบ จะเปิดตาดอกโดยใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 15-30-15 หรือ 12-24-12 อัตรา 1 กำมือ ใส่ให้กับต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ รดน้ำจนเห็นว่าปุ๋ยละลายจนหมด (ช่วงการให้ปุ๋ยนี้ไม่แนะนำให้เปิดน้ำด้วยหัวสปริงเกลอร์ ควรจะให้น้ำด้วยสายยางจะดีกว่า) และยังได้แนะนำก่อนว่า ก่อนที่จะให้ปุ๋ยควรเปิดน้ำให้กับต้นมะนาวจนดินชุ่มเสียก่อน จะรดน้ำด้วยสายยาง 2-3 ครั้ง ทุกๆ 3-5 วันสำหรับการฉีดพ่นฮอร์โมนหรือธาตุอาหารทางใบควรฉีดพ่นอย่างเต็มที่ ฉีดพ่นด้วยฮอร์โมน โปรดั๊กทีฟ อัตรา 20 ซีซี ผสมกับสารเทรนเนอร์ อัตรา 10 ซีซี และปุ๋ยทางใบ สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ (20 ลิตร) ฉีดพ่นต่อเนื่องทุก 5-7 วัน หลังจากนั้นต้นมะนาวจะเริ่มออกดอกและติดผลไปแก่ในช่วงฤดูแล้ง

 

การทำมะนาวนอกฤดู

การบังคับมะนาวนอกฤดูในวงบ่อซีเมนต์
1. แปลงนี้ปลูก มะนาวพันธุ์ตาฮิติ และพันธุ์แป้น อายุประมาณ 4 ปี ทั้งหมด 600 วงในเนื้อที่ 2 ไร่เศษ
2. การให้น้ำระบบมินิสปริงเกอร์ ให้น้ำเช้า - เย็น
3. มะนาวจะราคาแพงที่สุดคือช่วงเดือน มีนาคม – เมษายน ของทุกปี ดังนั้นเมื่อเก็บผลผลิตหมดในเดือน
พฤษภาคม ให้รีบดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
- ตัดแต่งกิ่ง เด็ดผลที่เหลือบนต้นออก เพื่อบำรุงต้น เร่งการสร้างยอดใหม่ ใบใหม่โดย ผลมะนาวที่คุณภาพดีที่สุดคือผลที่เกิดจากยอดใหม่ ผลที่เกิดจากกิ่งเก่าคุณภาพจะด้อยลงมา ผลที่คุณภาพต่ำสุดคือผลที่เกิดติดกิ่ง หลังตัดแต่งกิ่งเสร็จใช้ปุ๋ยเคมี 15 – 15 – 15 ใส่หนึ่งกำมือต่อวง คุณพิชัยให้เหตุผลว่าหากไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ต้นจะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าที่ควร และพบอาการผลเหลืองที่ไม่ได้เกิดจากอาการม้านแดดมากกว่าปกติ เนื่องจากการให้ผลผลิตในปีที่ผ่านมา
ต้นมะนาวใช้ธาตุอาหารในการเลี้ยงลูกในปริมาณที่มาก
- เพิ่มวัสดุปลูกในวงบ่อเนื่องจากในแต่ละปีวัสดุปลูกจะยุบลง เพิ่มกาบมะพร้าวบริเวณโคนต้น เนื่องจากาบ
มะพร้าวผุพังไปบ้างในปีที่ผ่านมา กาบมะพร้าวเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บรักษาความชื้นได้อย่างดี และยังเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บ
รักษาปุ๋ยที่จ่ายมาทางระบบน้ำก่อนจะค่อย ๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้ต้นมะนาวใช้ ป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารอัน
เกิดจากการไหลบ่า หรือการระเหย
- การให้ปุ๋ยชีวภาพซึ่งได้จากการหมักหอยเชอรี่30 กก. เศษผลไม้ 10 กก. กากน้ำตาล 10 กก. เชื้อพด.
2 จำนวน 25 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร สูตรนี้สามารถใช้ฉีดพ่นทางใบ ในอัตรา 20 - 25 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรได้ ในส่วนของ
การให้ทางระบบน้ำนั้น เทคนิคคือใช้ปุ๋ยชีวภาพในอัตรา 5 ลิตร ต่อน้ำ 1,250 ลิตร ให้ทุก 5 - 7 วัน โดยใน
การให้จะให้ครั้งละ 3 – 5 นาทีเพื่อให้กาบมะพร้าวบริเวณโคนต้นชุ่มก็พอ หลังจากนั้นก็ให้น้ำตาม รอบปกติ น้ำจะ
ค่อย ๆ ละลายธาตุอาหารลงไปให้ต้นมะนาวใช้ เป็นการจัดการที่ประหยัดปุ๋ย ใช้ปุ๋ยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

- ในระยะนี้ต้องรักษาใบและยอดให้ดี เนื่องจากมีโรค แมลงที่สำคัญเข้าทำลายในระยะยอดอ่อนถึงเพสลาดคือ เพลี้ยไฟ และโรคแคงเกอร์ ในเรื่องสารเคมีคุณพิชัยให้แนวคิดว่าบางระยะยังต้องมีการใช้อยู่ แต่ต้องเลือกใช้ในระยะที่
ปลอดภัยต่อผู้บริโภค คือใช้ในระยะก่อนเก็บเกี่ยวไม่น้อยกว่า 2 เดือน เนื่องจากแปลงเรียนรู้นี้ปลูกทั้งพันธุ์ตาฮิติ และพันธุ์แป้นคละกันไป พันธุ์แป้นอ่อนแอต่อโรคแคงเกอร์มาก
- หลักการใช้สารเคมีในแปลงมะนาว นอกจากเพลี้ยไฟ โรคแคงเกอร์แล้วยังมีโรคและศัตรูอื่น ๆ อีก เช่น หนอนชอนใบ หนอนกัดกินใบ แมลงค่อม โรคยางไหล โรคราเข้าขั้ว การเลือกใช้ชนิดของ
สารเคมีและระยะที่ใช้จึงมีความจำเป็น หากอยู่ในระยะที่ใช้สารเคมีได้ เพลี้ยไฟ และหนอนชอนใบมีสารเคมีที่ คุณพิชัยเลือกใช้ในการป้องกันกำจัดคือ อะบาแม็กติน อัตรา 3 – 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ( ทั้งนี้อัตราการใช้แล้วแต่ความเข้มข้นของแต่ละบริษัทที่ผลิต ) หากพบการระบาดมากจะใช้สาร อิมิดาคลอพริด อัตรา 3 – 5 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร แมลงค่อมหรือด้วงปีกแข็งใช้สารคาร์โบซัลแฟน อัตรา 20 – 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซเปอร์เมทริน อัตรา 5 – 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร โรคราเข้าขั้วใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อราแมนโคเซ็บ อัตรา 20 – 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์เบ็นดาซิม อัตรา 10 – 20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ความถี่ในการฉีดพ่น ทุก 7 - 15 วัน หรือแล้วแต่สภาพการระบาดของโรคแมลง นอกเหนือจาก
ระยะนี้แล้ว 2 เดือนก่อนเก็บเกี่ยว คุณพิชัยเลือกใช้น้ำหมักชีวภาพที่มีฤทธิ์ไล่ และกำจัดแมลง โดยใช้น้ำหมักที่หมักจาก
สมุนไพรที่ มีรสเผ็ด ขม เหม็น เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด บอระเพ็ด สะเดา ใช้สมุนไพรดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง
30 กก. กากน้ำตาล 10 กก. พด. 7 จำนวน 25 กรัม ต่อน้ำ 30 ลิตร หมัก 20 วัน นำมาฉีดพ่นในอัตรา 25 ซีซีต่อน้ำ 20
ลิตรทุก 7 - 15 วัน
- เนื่องจากมะนาว มีอายุ ประมาณ 5 เดือนสามารถเก็บขายได้ในเดือนที่ 6 การวางแผนการบังคับให้ออกนอกฤดู คือต้องทำให้ออกดอก เดือนตุลาคม เดือนกันยายนต้องงดปุ๋ย งดน้ำ จากประสบการณ์ของคุณพิชัยจะเลือกใช้จังหวะฝนทิ้งช่วงประมาณ 7 – 15 วัน เป็นการงดน้ำไปในตัว เนื่องจากมะนาวแปลงนี้ 600 วง คุณพิชัยจัดการเพียง
คนเดียวจึงไม่สะดวกที่จะเลือกใช้พลาสติกคลุม เพราะพลาสติกก่อให้เกิดไอน้ำเกาะบริเวณผิวด้านในพลาสติก ลดความชื้น
ในดินยาก หากจะให้ได้ผลดี ในวันที่แดดออกต้องแกะพลาสติกออกให้น้ำระเหย หากฝนตกต้องคลุมพลาสติก เป็นการจัดการที่ยากในกรณีที่ไม่มีแรงงานเพียงพอ
- งดน้ำจนใบเหี่ยว สลด และหลุดร่วงประมาณ 50 – 60 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นให้น้ำตามปกติ ปุ๋ยเคมีที่ใช้เพื่อเปิดตาดอกในระยะนี้คือ ปุ๋ยที่มีตัวกลางสูงเช่น 12 – 24 – 12 หรือ 15 – 30 -15 ปริมาณ 1 กำมือต่อวงรดน้ำให้ชุ่มเพื่อให้ปุ๋ยละลาย
- หลังติดดอกแล้วให้น้ำตามปกติเช้า – เย็น เวลาละ 5-10 นาที
- ปุ๋ยทางดินที่คุณพิชัยใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ตลอดฤดูการผลิตคือปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักจากเศษพืช มูลสัตว์ กากหอยเชอรี่ เป็นการลดต้นทุนการผลิต ลดภาวะดินเสื่อมโทรม ปรับสภาพดินให้สมบูรณ์ อย่างยั่งยืน

CREDIT By!! http://lemom-farm.blogspot.com/

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

การปรับแต่ง เวบด้วย wordpress


ในเมื่อมีคนใช้เยอะและเป็นที่นิยมขนาดนี้แล้วแน่นอนว่า Google bot ก็รู้เหมือนกัน สำหรับ Bot มันจะรู้ได้จากโครงสร้างของเว็บนั้นๆ แน่นอนว่าโครงสร้างเว็บเพจส่วนใหญ่และธีมส่วนใหญ่ของเว็บที่ใช้ WordPress นั้นคล้ายๆ กัน ดังนั้นถ้าเราไม่มีการปรับแต่งแก้ไข ให้มันไม่เหมือนเว็บอื่นมันก็จะเป็นเรื่องดี ที่จะทำให้อันดับของเว็บเราแรงขึ้นแน่นอน
สังเกตได้จากเว็บที่ใช้ WordPress 2 เว็บที่ใช้ keyword เดียวกันทำเว็บ ใช้ธีมเดียวกัน ใช้บทความเดียวกันด้วย มันจะให้อันดับเว็บที่มีการอัพเดทบทความล่สุดก่อน Bot มันรู้จากวันที่อัพเดทบทความครับ ดังนั้นธีมที่ใช้นั้นควรจะมีวันที่อัพเดทบทความกำกับไว้ด้วยทุกๆ หน้า ถ้าไม่อยากให้วันที่แสดงก็ซ่อนเอาไว้เช่น
1
<span class="date" style="display: none !important;">5 May 2011</span>
ทิปส์นี้ผมทดสอบและเอาไปใช้งานกับเว็บ Money Site แล้วหลายๆ เว็บ ถือว่า OK อยู่นะครับ ลองดูว่ามีอะไรบ้าง
1. ลบ meta generator by WordPress ทิ้งไป
ถ้าไม่ลบออก Google bot มันจะรู้ทันทีเลยว่าเว็บนี้ใช้ WordPress ซึ่งจะให้มันรู้ไม่ได้เลยว่าเว็บเราใช้ CMS ตัวไหน มีผลต่ออันดับเช่นกัน ดังนั้นควรลบออก เปิดไฟล์ functions.php ที่มากับธีมที่ใช้งานปัจจุบัน เพิ่มโค้ดนี้ลงไป
1
remove_action('wp_head', 'wp_generator');
2. ลบ wp head ทิ้งซึ่งมันไม่จำเป็นต้องใช้
ส่วนนี้จะอยู่ืั้ เช่นพวก shortlink, prev, next, start, feed links ทั้งหายนั่นหละครับ ลบทิ้งเลยเปิดไฟล์ functions.php ที่มากับธีมที่ใช้งานปัจจุบัน เพิ่มโค้ดนี้ลงไป
1
2
3
4
5
6
7
8
9
remove_action( 'wp_head', 'feed_links_extra', 3 );
remove_action( 'wp_head', 'feed_links', 2 );
remove_action( 'wp_head', 'rsd_link');
remove_action( 'wp_head', 'wlwmanifest_link');
remove_action( 'wp_head', 'index_rel_link');
remove_action( 'wp_head', 'parent_post_rel_link');
remove_action( 'wp_head', 'start_post_rel_link');
remove_action( 'wp_head', 'adjacent_posts_rel_link_wp_head', 10, 0 );
remove_action( 'wp_head', 'wp_shortlink_wp_head', 10, 0 );
3. ทำลิงก์ออกในส่วนของ bookmarks link ให้เป็น no follow ซะ
ถ้าใครที่ไม่ต้องการให้ลิงก์ออกไปยังเว็บเพื่อนบ้านได้คะแนน PR หรืออยากเก็บ PR ไว้ที่เว็บเราก่อนก็ทำลิงก์ในส่วนนั้นเป็นแบบ no follow มีผลต่อ SEO มีผลต่อ PR ครับ เปิดไฟล์ functions.php ที่มากับธีมที่ใช้งานปัจจุบัน เพิ่มโค้ดนี้ลงไป
1
add_filter('get_bookmarks', 'no_follow');
4. ทำลิงก์ใน Tag ให้เป็นลิงก์ rel nofollow ทั้งหมด
ไม่ให้ PR ไต่ไปหน้า tag ในเมื่อเรามีบทึความดีๆ ที่หน้า post อยู่แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องให้ลิงก์ pr ออกไปยังหน้า tag และไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญในส่วน tag ครับ ยิ่งเว็บ Money site มีบทความคุณภาพแค่ 2-3 บทความ/เว็บ ยิ่งไม่จำเป็นต้องใส่ tag เลยครับ เปิดไฟล์ functions.php ที่มากับธีมที่ใช้งานปัจจุบัน เพิ่มโค้ดนี้ลงไป (nofollow ในส่วนของ widget tag ด้วย)
1
2
3
4
function add_nofollow_tag($sLink) {
    return str_replace('<a href=', '<a rel="nofollow" href=', $sLink);
}
add_filter('the_tags', 'add_nofollow_tag');
5. ลิงก์ Read More. ที่แสดงหน้าแรกโดย tag –more– นั้นทำให้มันเป็น nofollow
ลิงก์ในส่วนของ Read More หรือ Continue reading → หรือ อ่านเพิ่มเติมอะไรเนี่ย ทำให้มันเป็น nofollow link ซะ เพราะเราจะให้มันลิงก์แบบ dofollow ไปที่บทความเท่านั้น เปิดไฟล์ functions.php ที่มากับธีมที่ใช้งานปัจจุบัน เพิ่มโค้ดนี้ลงไป
1
2
3
4
5
6
7
8
add_filter('the_content_more_link','add_nofollow_to_link', 0);
function no_follow( $links ) {
    foreach($links as $link) {
       $link->link_rel .= ' nofollow';
       $link->link_rel = trim($link->link_rel);
    }
       return $links;
}
6. ทำลิงก์ออกในหน้าบทความให้เป็น nofollow หรือไม่ก็ redirect ไปเลย
ส่วนนี้ใช้ปลั๊กอินช่วยละกัน คือปลั๊กอิน WP-NoExternalLinks ครับ
7. ปรับแต่ง sidebar โชว์ Random Post แทน Recent Post
เมื่อบอทมันเข้ามาเก็บข้อมูลแล้วมาเจอตรง Random Post ในส่วนของ sidebar มันจะเข้าไปเก็บโพสอื่นเรื่อยๆ เข้าไปโพสอื่นแล้วเจอ Random Post ก็เข้าไปเรื่อย ไม่ให้มันซ้ำกันนั่นเอง ที่ไฟล์ sidebar.php ของแต่ละธีมไม่เหมือนกัน ตัวอย่างโค้ด
1
2
3
4
5
6
7
8
<li><h2>Random Post</h2>
<ul class="randpost">
<?php $posts = get_posts('orderby=rand&numberposts=8'); foreach($posts as $post) { ?>
<li><a href="<?php the_permalink(); ?>" title="<?php the_title(); ?>"><?php the_title(); ?></a>
</li>
<?php } ?>
</ul>
</li>
8. Heading tag สำคัญมาก
- เมื่อเข้ามาหน้าแรก h1 ควรเป็นชื่อเว็บ รายชื่อบทความที่เป็นควรเป็น h2 หรือ h3 ห้ามเป็น h1
- เมื่อเข้าอ่านหน้าบทความส่วนของชื่อบทความควรเป็น h1 และชื่อเว็บ ไม่ควรใช้ Heading tag อาจจะใช้ div มาควบคุมแทน
- เมื่อเข้าไปดูหน้าหมวดหมู่หรือหน้า category, tag, archive ชื่อเว็บไม่ควรเป็น h1 อาจจะใช้ div มาควบคุมแทน รายชื่อบทความควรเป็น ul – li แทน และมีรูปประกอบด้วย และมีรายละเอียดบทความด้วยประมาณ 200-400 คำตามความเหมาะสม แต่ห้ามใส่มากไปเพราะมันจะ Duplicate content สำคัญมาก ตัวอย่าง category | ตัวอย่าง tag | ตัวอย่าง archive ตัวอย่างเว็บนี้เลย view-source ดูครับ
9. ใส่คำสั่งควบคุม robots ที่สำคัญๆ ไว้ทุกหน้า
เพื่อควบคุบ robots ควรจะเพิ่มคำสั่งให้มันบ้าง เช่น
1
2
<meta name="robots" content="index,follow,noodp,noydir" />
<link rel="canonical" href="http://www.jadpai.info/" />
10. footer ด้านล่างสุด
ต้องมีลิงก์ยิงมาที่หน้าแรกเสมอ และควรมีแค่ลิงก์ชื่อเว็บ + รายละเอียดเว็บเท่านั้น อย่าเยอะไป เช่นโค้ด
1
2
3
<p>© 2012 <a href="<?php bloginfo('url'); ?>"><?php bloginfo('name'); ?></a>
<br /><?php bloginfo('description'); ?>
</p>



CRADIT: 2012 SEO Tip For WordPress by Bird